วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

... การบรรยายเรื่อง " ผูกดวงโดยไม่ต้องใช้ปฏิทินโหร " อ.ประทีป อัครา

หลักครูโหร






... การบรรยายเรื่อง " ผูกดวงโดยไม่ต้องใช้ปฏิทินโหร " ... 
... โดย อ.ประทีป อัครา บรรยายที่สมาคมโหรฯ ... เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๓ ...

...หลักครู ... ได้แก่คำที่ผมนำมาอ้างว่า “ จงพิจารณาในท่าทาย   ระมัดหมายให้เหมาะแก่รูปคน  ... จุดสำคัญอยู่ที่คำว่า รูป   กรุณา อย่าเข้าใจผิดว่าหมายถึงรูปหล่อ รูปสวย หรือรูปขี้ริ้ว หรือแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงอันแสดงถึงฐานะร่ำรวย หรือแต่งตัวซอมซ่ออันหมายถึงฐานะยากจน  เพราะ ถ้าดูที่ตรงนี้แล้ว จะทำให้เกิดอุปาทานและความยึดมั่นผิดๆได้ เช่น เมื่อเห็นคนแต่งตัวดีด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ก็เข้าใจว่าต้องร่ำรวยเป็นเศรษฐีเป็นเสี่ย ทั้งๆที่ความจริงเขายังผ่อนส่งค่าเครื่องแต่งตัวชุดนี้ยังไม่หมดเลย อุปาทานมักจะเป็นตัวการสำคัญที่ฉุดลากไปหาความเข้าใจผิดได้เสมอ ...

... รูป ... ในที่นี้ หมายถึง  รูปการณ์ ... อย่างหนึ่ง และ  รูปลักษณ์ ... อย่างหนึ่ง ...

 ... รูปการณ์ ... หมายถึง สภาวะหรือสถานะของเจ้าชะตา ซึ่งได้อธิบายไว้ในตัวอย่างเรื่องเด็กคนใช้หนีออกจากบ้าน ในตอนที่กล่าวถึง พุธ - กัมมะ แล้วว่า   ทั้งๆ ที่อาจแปลว่า ไปทำงานกับญาติก็ได้ แต่ไม่แปล เพราะรูปการณ์ไม่เหมาะที่จะแปลอย่างนั้น เพราะญาติของเด็กไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ไปช่วยทำงาน หรือจะดูดวงพระ เมื่อเห็นดาวปัตนิมีอิทธิพลร่วมกับคู่มิตร รูปการณ์ก็ไม่อำนวยให้ไปทายว่า พระท่านจะได้คู่ หรือพระจะแต่งงาน     ท่าทาย และ รูปการณ์ ในกรณีเช่นนี้จะทายได้เพียงแค่จะมีญาติโยมที่เป็นสีกาเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมาหาท่านมากขึ้นเท่านั้น ...

 ... รูปลักษณ์ ... สำหรับ ข้อนี้ ใคร่ขอนำเรื่องในวงการพยากรณ์ที่ใกล้เคียงกันมาประกอบสักเล็กน้อย เพราะคิดว่า จะมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ดีขึ้น ...

...ใน ตอนที่ผมคิดย่อปฏิทิน ๑๐๐ ปี เทียบวันเดือนปี ๓ ภาษาให้เหลือขนาดเล็กพอจะพกใส่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปใช้ได้โดยสะดวกสำเร็จ นั้น ก็กำหนดการจะจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ แต่เพื่อให้งานนี้ถูกต้องสมบูรณ์ จึงไปหาความรู้จากซินแสจีนในเรื่องหลักเกณฑ์ปฏิทินจีน และเรียนหนังสือจีนในส่วนที่ใช้ในปฏิทินจีน เพื่อนำมาใช้ในการทดสอบค้นคว้า ...

... ใน ระหว่างศึกษาเรื่องปฏิทินอยู่ ก็มีโอกาสได้ความรู้ในเรื่องพยากรณ์ทางจีนไปด้วย ผมเคยถามซินแสเรื่องการพยากรณ์ลักษณะของจีนที่เรียกว่า โหงวเฮ้ง ว่า เพราะเหตุใดบางคนลักษณะหน้าดี ตามตำราบอกว่าจะร่ำรวย แต่เจ้าชะตากลับมีฐานะย่ำแย่ แต่บางคนมีลักษณะที่ตำราบอกว่าอาภัพ กลับร่ำรวยเป็นเศรษฐี ... 

... ซินแสอธิบายให้ฟังว่า   หลักการพยากรณ์นั้นมีต้นมีปลาย จะดูแต่ต้นไม่ดูปลาย หรือ ดูแต่ปลายไม่ดูต้น ก็จะไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้ผิดพลาดได้ เหมือนการดูต้นไม้ จะดูเพียงว่าพันธุ์ดีอย่างเดียวแล้วทายว่าจะมีผลเยอะไม่ได้ ต้องดูดินที่จะปลูกด้วย เพราะต้นไม้บางชนิดชอบดินแห้ง เอาไปปลูกในที่น้ำมากๆ รากก็เน่า   ต้นไม้บางชนิดชอบน้ำ เอาไปปลูกในที่แห้งร้อนจัดก็เฉาตาย ...

 ... การดู โหงวเฮ้ง ต้องดู โป๊ยยี่  ด้วย   เช่น ลักษณะใบหน้าดีโดยต้องมีน้ำช่วย ถ้าวันเดือนปีเกิดมีธาตุน้ำสมบูรณ์ก็ดีแน่   ถ้าขาดธาตุน้ำหรือแถมมีธาตุที่เป็นศัตรูแรง เช่น ธาตุไฟ ก็ไม่ดี   คนที่ลักษณะไม่ดีก็เหมือนกับขี้ หากเอาไปใช้เป็นปุ๋ยก็มีประโยชน์ คือเขาเกิดในวันเดือนปีที่ส่งเสริมลักษณะนั้นก็เจริญได้ ...

 ... ลัคนา ... ในหลักพยากรณ์ของโหรไทย  ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่ามีหลักเกณฑ์แบบเดียวกับหลักของจีนที่กล่าวมา หากท่านสังเกตตำราเก่าๆ จะพบว่า ลัคนา ในสมัยก่อน ล้วนแต่เขียนเป็น ลักษณา ทั้งสิ้น   จนกระทั่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงพบว่าใช้ ลักขณา ...
... แต่ ลักษณา หรือ ลักขณา ก็ยังไม่ทิ้งความหมายว่า ลักษณะ อยู่นั่นเอง   ซึ่งเป็นการชี้บอกว่า โหรสมัยก่อนได้อาศัย รูปลักษณ์ เป็นหลักกำหนดคุณสมบัติของดวงดาวในดวงชะตาด้วยเช่นเดียวกัน ...
 ... ผู้ ที่ไม่เคยเฉลียวใจคิดถึงเรื่องนี้ น่าจะลองสังเกตดู แล้วจะพบเงื่อนงำความผิดพลาดของตำราที่หาสาเหตุไม่พบมาก่อน ได้บ้าง เช่น ดวงชะตาบางดวงมีอังคารเข้มแข็ง แต่เจ้าชะตากลับเป็นคนอ่อนไม่เอาไหน ผิดจากที่ตำราว่าไว้  ซึ่งหลายๆท่านที่ไม่รู้สาเหตุ เลยพาลโยนความผิดไปให้ลัคนา ทำการย้ายลัคนากันเสียก็มาก ...

 ... ผม จึงอยากเสนอให้ท่านลองรับข้ออุปมาของซินแสที่กล่าวข้างต้นไว้พิจารณาว่า ดาวเหมือนกับต้นไม้ ถ้าดาวอยู่ในตำแหน่งดี ทรงคุณเป็นอุจจ์เป็นเกษตร ก็เหมือนกับต้นไม้พันธุ์ดี ควรจะดูพื้นดินที่ปลูกต้นไม้นั้นอันได้แก่ลักษณะประกอบด้วย   ถ้าดาวดีลักษณะก็ดีเหมาะสมกัน ก็เหมือนไม้พันธุ์ดีปลูกในพื้นดินที่เหมาะย่อมจะเจริญงอกงามให้ดอกผลดี ...

... ดวงชะตาที่มีดาวพฤหัสอยู่ในตำแหน่งดี บริเวณหน้าผากของเจ้าชะตา ซึ่งเป็นอาณาเขตของดาวพฤหัสจะต้องดีเหมาะสมด้วย   พฤหัสจึงจะมีอิทธิพลให้คุณอย่างเต็มที่ ...
   ... ถ้าอังคารดี ส่วนของขากรรไกรล่างจะต้องมีลักษณะดี เหมาะสมกับความหมายของดาวในดวงด้วย จึงจะดีสมบูรณ์ ...
 ... ที่ใช้คำว่า ลักษณะดีเหมาะสม ก็เพราะตามธรรมดาเรามักแยกคุณลักษณะความดี ออกเป็น ๒ ทาง คือ ดี ทางทฤษฎีอย่างหนึ่ง   และ   ดี ทางปฏิบัติอย่างหนึ่ง   อย่างเช่น ดาวพุธ ตำราให้ความหมายไว้ว่า คิดหรือพูด มีบางรายที่เก่งทั้งคิดทั้งเขียนทั้งพูด   แต่บางรายเขียนเก่งพูดไม่เก่ง   บางรายพูดเก่งเขียนไม่เก่ง   เป็นต้น ฯ ...

 ... เรื่องนี้อาจเป็นของใหม่ในวงการโหรสมัยปัจจุบัน   เพราะสังเกตว่าไม่มีกล่าวอยู่ในตำราโหราศาสตร์สมัยนี้ แต่ไม่ใช่ของใหม่ในวงการโหรสมัยก่อนแน่นอน ... ที่นำมาเสนอไว้เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อย ...


วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

... ทุระทุราโยค ...

... ทุระทุราโยค ...


... จากหนังสือ เคล็ดลับการพยากรณ์ ของ อ.บรรเทา จันทรศร [ อุตรภัทร์ ] ...

... ในโยคของจันทร์มีทุระทุราโยค ซึ่งหมายถึงโยคดี แต่ในจักรทีปนีและตามคำนิยามของโหรไทยคำว่า ทุระทุราโยค นั้น
แปลว่า โยคไม่ดี หรือแปลว่า ทุกข์ๆ ยากๆ ซึ่งโยคนี้เป็นโยคที่เกี่ยวกับดาวเสาร์ หมายถึงมีดาวเคราะห์อยู่ในราศีที่ 2 และที่
12 จากดาวเสาร์ เรียกว่า ทุระทุราโยค คือประสบทุกข์ยากอยู่เนืองๆ ...

... แต่ทั้งนี้ตามที่สังเกตุไม่ได้เป็นไปหมดทั้งดวงชาตา เป็นไปตามเจ้าเรือนของลัคนา ที่อยู่ในราศีที่ 2 และที่ 12 จากเสาร์เท่านั้น คือดาวเคราะห์ดวงใดอยู่ราศีที่ 2 และที่ 12 จากเสาร์ ดวงนั้นก็จะประสบ ทุระทุราโยค ตัวอย่างดังดวงชาตานี้ ...




.. สังเกตุดูตามดวงตัวอย่างดาวเสาร์อยู่ในราศีเมษ ดาวพฤหัสและดาวมฤตยูอยู่ราศีพฤษภ ดาวอังคารและลัคนาอยู่ราศีมีน

ดัง นั้นดาวมฤตยู  พฤหัสและอังคารถูกทุระทุราโยค ซึ่งดาวพฤหัสเป็นเจ้าเรือนตนุและเจ้าเรือนกัมมะ จึงทำให้เจ้าชาตาประสบความลำบากตั้งแต่ตอนเด็กๆจนถึงแก่ ก็ยังไม่พ้นจากความลำบาก ส่วนเรื่องการงานก็เข้าๆออกๆตลอดเวลา และไป
ทำงานอาชีพใดๆก็ต้องรับภาระหนักมากกว่าเพื่อน ...

ส่วนดาวอังคารที่กุมลัคนานั้นเป็นเจ้าเรือนกฎุมภะ และเจ้าเรือนศุภะ ก็ทำให้เจ้าชาตามีความทุกข์ยาก เกี่ยวกับเงินทอง ...
ตลอด เวลา มีเงินเมื่อใดก็มีคนช่วยใช้มากๆ แต่เมื่อเงินหมดต้องหาคนเดียว ดังนั้นการเงินจึงลุ่มๆดอนๆ อย่างนี้เป็นต้น และในดวงนี้นอกจาก อังคารจะเป็นทุระทุราโยคแล้ว ชาตายังใกล้ๆกับมหาธนโยค คือโยคเศรษฐี คือ เจ้าเรือนที่ 2 กุมลัคน์ ...
เจ้าเรือนลัคน์ไปอยู่ภพที่ 3 เจ้าเรือนภพที่ 3 อยู่ในเรือนลาภะ เจ้าเรือนลาภะอยู่ในเรือนกฎุมภะ เจ้าเรือนกฎุมภะกุมลัคนา ...
ซึ่ง ถ้าหากดาวอังคารและพฤหัส ไม่ถูกทุระทุราโยค ก็คงจะเป็นคนมีเงินคนหนึ่งเหมือนกัน แต่เมื่อเป็นทุระทุราโยค ก็จะกลายเป็นคนเดี๋ยวมีเดี๋ยวจน ใช้เงินเปลือง มีคนรบกวนเงินทองตลอดเวลา ...

... และทุระทุราโยคนี้ โหรไทยนิยมใช้กันมาก คู่ๆกันกับเกณฑ์ชาตาทีเดียว แต่บางคนก็ไม่ได้ใช้ จึงนำมาลงไว้เพื่อเป็นเครื่องประดับความรู้ ...



“ราหูล่าจันทร์ และจันทร์ล่าราหู”














“ราหูล่าจันทร์ และจันทร์ล่าราหู” หากนับจากราหูไป 3 ราศีแล้วมีดาวจันทร์อยู่เรียกว่า จันทร์ล่าราหู . หากนับจากราหูไป 11 ราศี แล้วมีดาวจันทร์ เรียก ราหูล่าจันทร์ (นับทวนเข็มนาฬิกา)

ที่เสียก็คือ หูเบา ใจง่าย ใจอ่อน ขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือคนโดยปราศจากเหตุผล และเดือดร้อนเพราะช่วยเหลืออุปถัมภ์ ผู้อื่นอยู่บ่อยๆ เรียกว่า เตี้ยอุ้มคร่อม . จันทร์ถูกราหูล่า ทำให้เป็นคนมีรูปร่าง และกิริยา วาจาไม่มีเสน่ห์ หรือมีเสน่ห์แต่ใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง

.ถ้าเป็น จันทร์ล่าราหู ก็จะทำให้เจ้าชะตา เป็นคน ขี้สงสาร ใจอ่อน เชื่อคนง่าย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เดือดร้อนเพราะช่วยคนอื่น

...ถ้าเป็น ราหูล่าจันทร์ ก็จะทำให้เจ้าชะตา อาจจะเป็นเมียเก็บ หรือ ใช้เสน่ห์ไม่ถูกทาง เป็นหนี้เป็นสินล้มละลายอาภัพ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

อัตชีวประวัติหมอเถาว์ บรมครูแห่งโหราศสตร์ไทย

อัตถชีวประวัติหมอเถาว์ บรมครูแห่งโหราศสตร์ไทย

ท่านเขียนลงในหนังสือพยากรณ์สาร ฉบับเดือนกรกฎาคม 2525 โดยใช้หัวข้อเรื่อง
ว่า "ชีวิตโหรเก่าที่ผมรู้จัก" ท่านได้เขียนถึงวิถีชีวิตของท่าน ได้เขียนถึงโหรเก่าๆ และเขียนถึงการได้เล่าเรียนในหลักวิชาโหราศาสตร์ที่ภายหลังท่านนำมาใช้จนมี ชื่อเสียงโด่งดังในหมู่นักโหราศาสตร์ในปัจจุบัน ก็ขอเชิญมารับชมรับฟังกันได้ครับ

"ชีวิตโหรเก่าที่ผมรู้จัก" อรุณ ลำเพ็ญ (พยากรณ์สาร กค.2525)
ชีวิตโหราศาสตร์ของผมเริ่มต้นมาแต่เด็กวัย ๑๐ ขวบเศษ ผมเกิดและเติบโต
จากหมู่บ้านที่ติดกับวัดเชิงเลน (วัดบพิตรภิมุข) บิดาผมคุ้นเคยกับพระรูปหนึ่งในวัด
โดยไปมาหาสู่และถวายภัตตาหารเสมอมา ผมว่างผมก็ตามบิดามาเล่นบนกุฏิท่าน
ส่วนบิดาก็เสวนาเรื่องโหราศาสตร์ตามที่ท่านชอบกับพระรูปนั้น พอผมหมดเรื่องเล่น
ผมก็มานั่งฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งเป็นกิจวัตรประจำ ภิกษุรูปนั้นก็คือ "โหรแดง"
แห่งวัดบพิตรภิมุข ผู้โด่งดังในวงการโหรยุคเมื่อ 50 ปีก่อน โหรรุ่นเก่าทุกท่านรู้จัก
ท่านดีว่า ท่านเชี่ยวชาญในการใช้ดาวใหญ่ คือ เสาร์ ราหู พฤหัส เท่านั้นในการพยากรณ์
ซึ่งเป็นที่แม่นยำน่าพิศวง 

พอชีวิตเริ่มเป็นหนุ่ม ๒๐ เศษ ได้เข้าฝึกงานหนังสือพิมพ์ สยามนิกรยุค ซึ่งคุณ
โชติ แพร่พันธุ์ (ยาขอบ) เป็นคนคุมหนังสือฉบับนั้น และมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งทำงาน
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ คือคุณจำนง วงศ์ข้าหลวง (ต่อมาท่านได้เป็น
นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงมาก) ผมได้ไปมาหาสู่ จนได้พบนักโหราศาสตร์ท่านหนึ่งในยุค
นั้นถือกันว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เพราะท่านเขียนเรื่องโหราศาสตร์ไทยไว้เป็นเล่มมาก
เล่ม เป็นนักโหราศาสตร์ร่วมยุคกับท่านอายัณโฆษ ใช้นามปากกาว่า "ธงดำ" 
ผม รียกชื่อจริงของท่านว่า พี่ชอุ่ม ท่านชอบเสพสุราและผมก็กำลังหัดกินเหล้าจึงถูกชัก
ชวนมาร่วมวง ขณะกินเหล้าพี่ชอุ่มมักชอบสาธยายความรู้ทางโหราศาสตร์เสมอ ไม่เอา
ใจใส่ก็เหมือนต้องเอาใจใส่ เพราะต้องเอาใจพี่ชอุ่มซึ่งเป็นเจ้าของเหล้า เสวนากันเป็น
แรมปี จนบางครั้งเรามาตั้งวงกินเหล้ากันลำพัง พอใครเอ่ยเรื่องดวงเรื่องดาวขึ้นมา
มักถูกเรียกเป็นพี่ชอุ่มเสมอ 

ต่อมาได้ย้ายงานหนังสือพิมพ์มาทำอยู่หนังสือพิมพ์ สยายรีวิว ของนายชอ้อน
อำพล ผู้เป็นน้าชาย เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกทุกวันเสาร์ ฉะนั้นวันจันทร์ถึง
วันศุกร์จึงเป็นวันที่เร่ร่อนเที่ยวไปทุกแห่งเพื่อพบผู้คนมากมายเพื่อหาข่าวมาเขียนใน
วันเสาร์ น้าชอ้อนเป็นคนกว้างขวางมีเพื่อนมากได้ไปทุกแห่ง แต่พอตกบ่ายมักจะมา
หยุดลงที่วัดยานนาวา ที่กุฏิริมแม่น้ำ อันเป็นกุฏิของพระมหาบุญช่วย เพราะที่นี่เป็นที่
ชุมนุมผู้คนไปมามากหน้าหลายตาทั้งแขกขาประจำและแขกจรได้เรื่องราวมาเขียนมาก 

พระมหาบุญช่วยก็คือ "ญาณโชติยศาสตร์" นักโหราศาสตร์ซึ่งต่อมาเขียนตำราโหรา
ศาสตร์ไว้มากมายหลายเล่ม และนักโหราศาสตร์รุ่นเก่ารู้จักกันทุกคน แขกขาประจำมัก
จะมาสนทนาโต้แย้งสนับสนุนกันถึงเรื่องโหราศาสตร์ไทยกันอย่างสนุกสนาน บางครั้ง
ร่วมวงกว่า ๑๐ คน ส่วนแขกจรมักเป็นคุณหญิงคุณนาย และผู้ใหญ่ที่มาดูดวงกัน
ท่านชอบทายต่อหน้านักโหราศาสตร์อื่นๆ พอทายถูกโดยไม้เด็ดเคล็ดลับ บ้างหัวร่อ
เฮฮากันจนคนมาดูอายม้วนก็เคยมีหลายๆครั้ง พอเจ้าตัวกลับไป ท่านก็จะอธิบายดวง
โดยนักโหราศาสตร์อื่นๆดูเป็นความรู้ติดตัวไปเสมอ 

ต่อมาผมได้ย้ายบ้านมาอยู่กับน้าชอ้อนที่บ้านถนนข้าวสาร น้าชอ้อนคุ้นเคยอยู่กับ
โหรใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ลาออกจากกรมโหรหลวงในขณะที่เป็นรองเจ้ากรมโหรฯ เหตุที่ลา
นัยว่าเพื่อหนีตำแหน่งเจ้ากรมโหรฯ เพราะได้รับการทาบทามแล้วแต่ท่านต้องการที่จะ
หลีกทางให้เพื่อนรัก คุณพระญาณเวทท่านชอบเสพสุราเป็นนิจ จึงถูกอัธยาศัยกับน้า
ชอ้อนเป็นอันดี บ้านท่านอยู่หลังวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งห่างจากบ้านผมเพียงถนนเดียวเอง 

น้าชอ้อนมักมาติดแหมะอยู่บ้านคุณพระญาณเวทตั้งแต่เย็นจนดึกดื่นเสมอ และเมื่อผม
ถูกใช้ให้มาตามกลับ มักติดแหมะอยู่ด้วยอีกคน เพราะท่านเป็นคนคุยสนุก ท่านเป็นคน
แปลกกว่าผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์ทั่วไป ถ้าไม่ถามเรื่องโหราศาสตร์ท่านก็จะไม่พูด
เรื่องโหราศาสตร์เลย แต่เวลาท่านพูดท่านจะพูดและบอกให้อย่างจริงจังและแจ่มแจ้ง
ผมชอบเลียบเคียงถามเรื่องโหราศาสตร์กับท่าน มิใช่ประสงค์จะเรียนรู้เอาจริงเอาจัง
เพียงแต่ได้สังเกตเห็นว่าคราวใดที่ท่านได้พูดคุยถึงโหราศาสตร์ สีหน้าท่านจะเบิกบาน
มีความสุขเป็นอันมาก 
และสิ่งที่ผมต้องการคือ จดจำขี้ปากท่านไว้สนทนากับวงสนทนา
อื่นแสดงภูมิเท่านั้น ยังมิได้คิดจะเรียนรู้อย่างจริงจังประการใด
ต่อมาหนังสือพิมพ์สยามรีวิวเลิกไป ผมก็เร่ร่อนแต่ส่วนใหญ่ก็มารวมกลุ่มนักสุรา
บาลที่บ้านถนนดำรงรักษ์ อันเป็นบ้านของ ม.ล.บัว มารดาคุณก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา
(ไม้ เมืองเดิม) 
สมาชิกแต่ละท่านล้วนเป็นนักเขียนชื่อดังทั้งสิ้น เช่น สุมทุม บุญเกื้อ
มนัส จรรยงค์ , ยศ วัชรเสถียร , พาณี นานครั้งคุณเลียว ศรีเสวก (อรวรรณ) คุณเหม
เวชกร ก็เคยมาร่วมด้วย ขณะนั้นมีสมาชิกใหม่คือคุณสะอาด จันทรกานตานนท์ เป็น
ผู้จัดการโรงพิมพ์รองเมือง ชวนให้ตั้งคณะออกหนังสืออ่านเล่น พวกเราจึงตกลงรับ
ปากตั้งคณะรองเมือง มีจดหมายแฟนหลั่งไหลเข้ามามาก คุณก้านเป็นผู้ตอบจดหมาย 

ตั้งนามปากกาผู้ตอบว่า"นายเถาวัลย์" หนักๆเข้าคุณก้านก็โอนให้ผมเป็นผู้ตอบแทน
ประมาณปี 2490 เศษ น้าชอ้อน อำพลได้ลงสมัครผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบฯ
ความผูกพันที่ผมมีอยู่จึงทิ้งงานไปชั่วระยะหนึ่งเพื่อไปช่วยหาเสียงช่วยน้าชอ้อน นับตั้ง
แต่ปิดใบปลิวปิดโปสเตอร์ ปาฐกถาและพูดจาแสดงคารมชักชวน
 เมื่อเข้าตัวจังหวัด สถานที่ชักจูงคนระดับแนวหน้าของจังหวัดนั้น ที่ไหนก็ไม่เหมาะเท่าวัดของหลวงพ่อ วัดเกาะหลัก เพราะศิษย์ของท่านไปมาหาสู่ท่านไม่ขาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญของ
จังหวัดทั้งสิ้น น้าชอ้อนเคยรับราชการอยู่จังหวัดประจวบ และเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ วัดเกาะหลัก
บางครั้งมากินมานอนอยู่ที่วัดหลายวันหลายๆครั้ง ผมก็ได้ติดตามมาด้วย
ทุกครั้ง บนกุฏิของหลวงพ่อเวลาค่ำลงเหมือนมีงานมหรสพผู้คนไปมามากมาย ส่วน
ใหญ่จะเป็นศิษย์ทางด้านโหราศาสตร์และทางธรรม น้ำชากาแล้วกาเล่า หลวงพ่อนั่งบน
อาสนะ รายล้อมไปด้วยศิษย์ จำได้ว่าศิษย์ท่านคนหนึ่งคือ คุณอำนวยพร เป็นผู้จัดการ
โรงแรม รถไฟหัวหิน เป็นศิษย์โหราศาสตร์มักไต่ถามมากกว่าคนอื่นๆ ท่านก็จะชี้แจงให้ฟังเหมือนครูสอนศิษย์ในชั้นเรียน บรรดาศิษย์ที่สนใจก็จะรุมกันซักสารพันปัญหา ท่านก็จะชี้แจงแตกฉานรอบรู้สมกับเป็นปราชญ์ทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง 

ต่อ มาประมาณปี 2495 ผมก็เปลี่ยนเข็มชีวิตจากนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์เข้าทำงานที่บริษัทนิ วอีสต์เอเชีย เป็นบริษัทเดินเรือลำเลียง ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชิปปิ้ง การทำงานครั้งนี้ได้พบโหรดังเข้าอีกท่านหนึ่ง คือ "อาจารย์เทอม เสตะกสิกร" ในยุคนั้นท่านดังมาก เพราะผลการพยากรณ์แม่นยำเป็นที่เล่าลือมาก คุณเทอมเป็นโหรสมัครเล่น เข้ามารับหน้าที่ในบริษัท เป็นคนไปติดต่อกรมเจ้าท่าเพื่อตรวจเรือของบริษัท คุณเทอมสามารถทำงานนี้ได้ดีเป็นพิเศษ
 เพราะอาศัยความคุ้นเคยชอบพอกับคุณหลวงดรณี ซึ่งท่านเป็นผู้รอบรู้วิชาโหราศาสตร์เป็นเอกอีกท่านหนึ่งในสมัยนั้น ขณะนั้นท่านมีตำแหน่งนายช่างใหญ่หรือรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็เลือนๆไปบ้าง
ตอน นั้นเนื่องจากผมถูกโหราศาสตร์ครอบงำมาก จึงสนใจอาจารย์เทอมมาก เลียบเคียงจะขอเรียนด้วย แต่คุณเทอมมักปิดประตูหมดจนผมไม่มีโอกาสจนแล้วจนรอดจน ท้อไปเอง 

คนสุดท้ายนี้ ประหลาดกว่าท่านอื่นๆเป็นอันมาก คือ มิได้เป็นทั้งโหร มิได้เป็นหมอดู แต่เป็น ช่างก่อสร้าง ในปี 2500 ผมมาดำเนินธุรกิจของตนเอง โดยได้ร่วมหุ้นตั้งบริษัทโรงพิมพ์อำพล
พิทยา จำกัด ขึ้นที่บ้านน้าชอ้อน ที่ถนนข้าวสาร จำเป็นต้องปลูกสร้างตัวโรงพิมพ์และ
ต่อเติมบ้านผมเองในบริเวณที่ว่างในบ้านใหญ่

มีเพื่อนชักนำช่างรับเหมาก่อสร้างมาให้คนหนึ่ง ท่าทางเป็นคนต่างจังหวัดเต็มตัว
ดูท่าทางขยันขันแข็งดี ทั้งๆที่วัยล่วงเข้า 50 ปีเศษแล้ว ช่างไม้ช่างปูนล้วนแต่เป็นลูก
หลานทั้งสิ้น ท่านชื่อว่า "อิน" ผมเลยเรียกว่า ครูอิน 

การก่อสร้างต่อเติมบ้านจำเป็นต้องรื้อห้องหนังสือผมออกเสียก่อน ครูอินแกยืน
คุมให้รื้อและช่วยผมยกย้ายหนังสือต่างๆในตู้ซึ่งมีอยู่ร่วมพันเล่ม เมื่อแกได้เห็นหนังสือ
โหราศาสตร์ ที่ผมสะสมไว้ทั่วทุกสารทิศมีมากมาย แกยิ้มๆถามผมว่า ถ้าคงจะเก่งโหราศาสตร์ ผมตอบแกตามตรงว่า ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย ยิ่งเรียนยิ่งโง่ลงทุกที คิดจะเลิกหลายหน
ครูอินกลับซักไซร้ผมว่า เรียนมาทางสายไหน ผมยิ่งงงหนัก ไม่เข้าใจว่าโหราศาสตร์ มีสายมีทางเหมือนทางดนตรีไทยหรือไร 

ครู อินอธิบายให้ฟังว่าโหราศาสตร์มีหลายสายคือสายทางภาคเหนือ สายทางภาคกลางและสายทางภาคใต้ ส่วนสายทางภาคอีสานมีน้อยมักเป็นเลข ๗ ตัวเสียมาก แต่ละภาคมักจะมีทางเล่นทางพยากรณ์แตกต่างกันบ้างในวิธีการพยากรณ์
ผมชักเอะใจ ครูอินเป็นช่างก่อสร้าง ทำไมดูรอบรู้เรื่องราวของโหราศาสตร์กว้าง
ขวางนัก ผมจึงถามเอาตรงๆว่า ครูอินมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์บ้างหรือเปล่า 

แก รับโดยไม่ลังเลเลยว่า เมื่อหนุ่มๆเคยเรียนมาเพราะถูกบังคับให้รับถ่ายทอดจากน้าชายซึ่งขณะนั้นอยู่ นครศรีธรรมราช และครูอินท่านมีพื้นเพเป็นคนนครฯ 

ครูอินท่านว่า เรียนมาแล้วก็มิได้ใช้เป็นกิจลักษณะ นอกจากเข้าวงอับวงรา จำเป็นจึงใช้ ทั้งนี้เพราะท่านไม่ชอบเป็นหมอดู ท่านว่ามักอาภัพไม่ร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น 

ผม ซักไซร้ทุกด้านทุกมุมของโหราศาสตร์เท่าที่ปัญญาและความรู้ที่ผมมีอยู่ขณะ นั้น 
ข้อความที่อธิบายสูงข้ามหัวผมไปทุกเรื่องทุกปัญหา จนผมเองยอมรับว่า ครูอินมีความรู้ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ไทยอย่างเจนจัดแท้จริง 

ผมเอ่ยปากขอเรียนกับท่าน แต่ท่านไม่รับปากทันทีกลับย้อนถามผมว่า อาชีพผมก็ร่ำรวยแล้ว จะเรียนเอาไปทำอะไร ผมตอบตามจริงว่า เอาไว้ช่วยทุกข์ของคนที่เขามีทุกข์มาจะได้รู้ทันชีวิต 

ครูอินท่านว่า ถ้าความตั้งใจเรียนเป็นกุศลจิตก็พอจะเรียนได้ ท่านรับปากจะสอนให้
จนหมดพุง ส่วนจะดีเลวกว่าทางโหรกรุงเทพหรือเปล่าท่านไม่รู้
รุ่งขึ้น ครูอินให้ผมจัดธูป เทียน ดอกไม้ อย่างละ ๙ ดอก พากันไปในโบสถ์วัดชนะฯ
ท่านให้จุดธูปเทียนบูชาพระประธานในโบสถ์ และรับสัจจะทีละข้อ
๑. อย่านำเอาวิชานี้ไปใช้ในทางทุจริตผิดศีลธรรม ทั้งเพื่อตนเองหรือผู้อื่น
๒. เวลาพยากรณ์ผู้ใด อย่าพึงมี โลภะ โทสะ โมหะ เพราะจะทำให้จิตเอนเอียง จะทำให้พิจารณาผิดพลาด
- โลภะ คือเห็นเขาเป็นเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจ หวังได้ลาภยศเกินกว่าควรจะได้
- โมหะ คือมีความหลงผิดในผู้มาให้พยากรณ์ หรือหลงว่าตนเก่ง
- โทสะ คืออย่าเกิดความโกรธ ความเกลียด ความรัก ผู้มาให้พยากรณ์ จะเกิดจิตใจเอนเอียงในคุณในโทษ ทำให้พยากรณ์ผิด
๓. ข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สำคัญยิ่งคือ เมื่อดาวพฤหัสเดินครบรอบจากวันที่ผมเรียนนี้ให้สอนถ่ายทอดวิชานี้ไว้แก่ ศิษย์ให้จงได้ เพราะวิชานี้เป็นกุศล เมื่อศิษย์คนใดใช้เป็นกุศลแก่ผู้อื่น อาจารย์เก่าต้นตำรับท่านจะได้กุศลด้วยเสมอ
การเรียนโหราศาสตร์ไทยกับครู อินครั้งนี้ เป็นการเรียนครบถ้วนกระบวนความทุกประการ กฎเกณฑ์การอ่านดวงเดิมและการพยากรณ์จร อันเป็นวิธีที่วิจิตรพิสดารอย่างมิได้เคยเรียนรู้มาก่อน 

นับแต่นั้นเป็น ต้นมา ชีวิตโหราศาสตร์ของผมก็ได้แตกฉานรอบรู้เป็น หมอเถา(วัลย์) ตั้งแต่นั้นได้พยากรณ์แก่ผู้ใกล้ชิดและเพื่อนฝูงเสมอมามิได้ขาด แต่มิได้เป็นหน้าเป็นตา เพราะขณะนั้นผมมีกิจธุระทำโรงพิมพ์ของตนเอง 

โหร เอกคนสุดท้ายที่ได้พบกันคือ คุณประทีป อัครา ผมได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ.2497 แต่มิได้มาสมาคม ต่อมาปี 2512 จึงได้มีโอกาสมาสมาคมบ่อยครั้ง ได้สังเสวนากับคุณประทีป อัครา ก็เป็นที่ต้องอัธยาศัยกันตามประสาเพื่อน ..............................................

ข้อความที่เหลือก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เป็นเรื่องของท่านกับอ.ประทีป อีกนิดหน่อย
ผมเลยตัดไป หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านคงจะรู้เรื่องของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ มากขึ้น หลัก
วิชาของท่านเป็นหลักวิชาที่ใช้ได้กว้างขวาง วิจิตรพิสดาร เป็นอย่างยิ่ง ผมเองยัง
เสียดายอย่างยิ่งที่มาเริ่มเรียนโหราศาสตร์หลังจากที่ท่านได้มรณะไปแล้ว ทำให้ไม่ได้
รับการถ่ายทอดจากท่าน เป็นศิษย์ของท่าน แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังนับถือท่านและ
ถือว่าท่านเป็นบูรพาจารย์โหรไทยในจิตใจของผมเสมอมา ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ

ตัวอย่าง การอ่านดาวตนุเศษ

 ในการอ่านดาวตนุเศษสถิตภพต่างๆ ถ้าจะอ่านความหมายให้กว้างไกลออกไปอีก ก็จักต้องอ่านดาวเป็นสองจังหวะ คือภพที่ดาวตนุเศษสถิต และดาวเกษตรที่ดาวตนุเศษสถิตไปภพใด ประกอบเข้าเป็นความหมายแห่งดาวตนุเศษนั้น

ตัวอย่างเช่น ตนุเศษ๗สถิตเรือนกดุมภะ เจ้าเรือน๖มาสถิตราศีกันย์เป็นนิจภพอริ
เมื่ออ่านดาว2จังหวะจะได้ความหมาย จิตใจ+กดุมภะ+อริ
=ความคิดในเรื่องเงินเป็นอุปสรรค คือมีจิตใจกัเหม็ดกะแหม่ขี้เหนียว จ่ายยากนั่นเอง ๗ตนะเศษเป็นมหาจักรอยู่ ออกแนวพิสดารเสียด้วย มีเจ้าชะตาผู้หนึ่งขับรถแท๊กซี่ ถ้าได้แบงค์พันจะไม่ยอมแตกมาใช้ จะวนเวียนเพื่อหาค่ากับข้าวกลับบ้าน
แม้จะเลยเวลาแล้วก็ตาม

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

จริต6ในดวงชะตา

บทความนี้ท่านผู้อ่าน อย่าเพิ่งเบื่อว่าผมจะมาเขียนแนวธรรมะ หรือศาสนานะ โดยส่วนตัวผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาครับ ไม่ได้คร่ำเคร่งศาสนาอะไรมาก  ผมยืนยันว่าหลังจากอ่านบทความนี้ ท่านจะได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ



ก่อนอื่น เราต้องมาดูกันก่อน ว่า "จริต" คืออะไร แล้ว มีแบบใดบ้าง


จริต แปลว่า จิตท่องเที่ยว สถาน ที่จิตท่องเที่ยวหรืออารมณ์ เป็นที่ชอบท่องเที่ยวของจิตนั้น ว่ากันง่ายๆ ก็คือ จิตของคนทั่วไปนั้นไม่ได้อยู่นิ่ง มีการเปลี่ยนสถานะ เฉกเช่น คนเราที่ยังไม่อยู่นิ่ง และไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง และการตอบสนองที่แตกต่างกันไป  สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประมวลไว้เป็น 6 ประการด้วยกัน คือ

1. ราคะจริต

จิต ท่องเที่ยวไปไปในอารมณ์ที่รักสวยรักงาม คือพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล รวมความว่าอารมณ์ที่ท่องเที่ยวไปในราคะ คือ ความกำหนัด ยินดีนี้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของจริต มีอารมณ์หนักไปในทางรักสวยรักงาม ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต มีกิริยาท่าทางละมุนละไมนิ่มนวล เครื่องของใช้สะอาดเรียบร้อย บ้านเรือนจัดไว้อย่างมี ระเบียบ พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะสกปรก การแต่งกายก็ประณีต ไม่มีของใหม่ก็ ไม่เป็นไร แม้จะเก่าก็ต้องสะอาดเรียบร้อย ราคจริต มีอารมณ์จิตรักสวยรักงามเป็นสำคัญ  จิตจะเกาะอยู่ในสัมผัสทั้งห้าอยู่ตลอดเวลาเป็นคนที่ชอบในเรื่องของรูป ลักษณ์ จะเป็นคนแต่งตัวเก่งออกมาดูสวยงาม ดูเก๋และเท่ น่าชวนมองชวนดู เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีบุคลิกดี มีมาด เพราะมีสติค่อนข้างสูง จึงสามารถควบคุมอิริยาบถของร่างกายตัวเองได้ค่อนข้างถ้วน อย่าตี ความหมายว่า ราคจริต มีจิตมักมากในกามารมณ์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นพลาดถนัด

2. โทสะจริต

มี สภาวะอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นบุคคลผู้มีหลักการของตนเองในการทำ งานและในการกระทำต่างๆ และมักเป็นผู้เคารพกฎเกณฑ์และมีวินัยสูงกว่าจริตอื่นๆ และการที่ตัวเองมีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัยค่อนข้างสูง จึงทำให้ทนไม่ได้เมื่อมาเจอผู้ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีเคารพหลักเกณฑ์ นอกจากนี้จะเป็นคนที่รักษาคำพูดรักษาเวลา จึงทำให้ทนไม่ได้มาเมื่อกับคนที่ไม่รักษาคำพูด เป็นคนขี้โมโหโทโส อะไรนิดก็โกรธ อะไร หน่อยก็โมโห เป็นคนบูชาความโกรธว่าเป็นของวิเศษ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้โกรธเคือง โมโหโทโส ใครเสียบ้างแล้ว วันนั้นจะหาความสบายใจได้ยาก คนที่มีจริตหนักไปในโทสจริตนี้ แก่เร็ว พูด เสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ ไม่ใคร่ละเอียดถี่ถ้วน แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว

3. โมหะจริต 

คน ที่มีลักษณะโมหะจริตจะเป็นคนที่ง่วง ๆ ซึมๆ ประเภทง่วงเหงางาวนอนเป็นอาจิณ อ่านหนังสือหรือฟังบรรยายประเดี๋ยวเดียวก็ตาปรอยหรือหลับไปเลย เป็นคนซึมๆ งงๆ ไม่รู้จะทำอะไร ปกติจะไม่ชอบทำอะไรถ้าไม่มีใครหรือสถานการณ์มาบังคับ ชอบนั่งเฉยๆอารมณ์พื้นฐานคือความเบื่อและความเซ็ง ทำอะไรรู้สึกว่ายากไปหมด รู้สึกเกินความสามารถ แต่ตัวเองก็มักใช้ความพยายามน้อย เพราะมีสมาธิค่อนข้างต่ำ พลังเลยไม่ค่อยมี ทำอะไรจะรู้สึกว่าเบื่อก่อนที่งานนั้นจะเสร็จ และลึกๆ จะมีความเศร้าอยู่ในใจ เพราะมักคิดถึงตัวเองในทางไม่ดีอยู่เสมอ มักจะคิดว่าตัวไม่มีคุณค่า น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกตัวเองต่ำต้อย ไร้ความสามารถ ไร้วาสนา

4. วิตกจริต

ลักษณะ พื้นฐานคือ พูดไม่หยุด ประเภทน้ำไหลไฟดับ ชอบแสดงความคิดเห็น มีคำถามเยอะแยะไปหมด เพราะได้ยินเสียงพูดตลอดเวลา สมองเต็มไปด้วยความคิด ฟุ้งซ่าน สับสนวุ่นวาย มีหลายความคิดซ้อนกันอยู่ แต่มักสรุปประเด็นสำคัญหรือจัดระบบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักมองว่า คนที่วิตกจริตมีปัญญาสูงเพราะเป็นคนที่สามารถคิดได้เร็ว พูดได้มาก ประเด็นเต็มไปหมด ฟังเผินๆ แล้วน่าประทับใจถ้าไม่คิดอะไรมากวิตกไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ และไม่สามารถเลือกว่าจะคิดอะไรได้ การคิดมักจะย้ำคิดในทางลบ มองโลกในแง่ร้าย มักคิดว่าโลกชั่วร้าย มีอารมณ์ชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีเรื่องที่จะต้องพิจารณานิดหน่อย ก็ต้องคิดตรองอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสิน คนประเภทนี้เป็นโรคประสาทมาก มีหน้าตาไม่ใคร่สดชื่น ร่างกายแก่เกินวัย หาความสุขสบายใจได้ยาก

5. ศรัทธาจริต 

มี จิตน้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุไร้ผล พวกที่ ถูกหลอกลวงก็คนประเภทนี้ มีใครแนะนำอะไรตัดสินใจเชื่อโดยไม่ได้พิจารณา แต่คนที่มีศรัทธาจริตพระ พุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นคนมีปัญญาต่ำ เพราะมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่าจะเป็นอย่างนั้น และจะไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น หากคนอื่นมีความคิดแตกต่างจากเราก็ไม่ยอมรับ ไม่ได้พิจารณาเหตุผล ไม่พิจารณา ต้องคิดถึงหลักกาลามสูตร อย่าเชือเพราะตามกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นศาสดา อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อเพราะเห็นว่ามีเหตุมีผลสอดคล้องกับความคิดของเรา

6. พุทธจริต

เป็น คนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบดี การคิดอ่านหรือการทรงจำก็ดีทุกอย่าง อารมณ์ของชาวโลกทั่วไป พูดอะไรเป็นเหตุเป็นผล ตัวกูของกูไม่สูงต่ำกว่าวิตก พร้อมจะรับความคิดเห็นเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นสูงขึ้น จึงยอมรับความคิดใหม่ซึ่งมีเหตุผล จิตปักอยู่ในเหตุผลจึงตรงประเด็น ไม่เอาเปรียบ มีความเมตราท่วมจิต เพราะคิดตามความเป็นจริง และไม่คิดในทางลบ ต้องการพัฒนาขัดเกลาจิตใจ ตลอดเวลา จึงเห็นปัญหาและทางแก้ เมื่อเห็นผู้อื่นจึงเกิดความเมตราไปด้วย ในคนพูดเต็มไปด้วยสติและปัญญา


สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลอารมณ์ว่า อยู่ในกฎ 6 ประการตามที่กล่าวมาแล้วนี้ บางคนมีอารมณ์ทั้ง 6 อย่างนี้ครบถ้วน บางรายก็มีไม่ครบ มีมากน้อย ยิ่งหย่อนกว่ากันตามอำนาจวาสนาบารมีที่อบรมมาใน การละในชาติที่เป็นอดีต อารมณ์ที่มีอยู่คล้าย คลึงกัน แต่ความเข้มข้นรุนแรงไม่เสมอกัน ทั้งนี้ก็เพราะบารมีที่อบรมมาไม่เสมอกัน ใครมีบารมี ที่มีอบรมมามาก บารมีในการละมีสูงอารมณ์จริตก็มีกำลังต่ำไม่รุนแรง ถ้าเป็นคนที่อบรมในการละ มีน้อย อารมณ์จริตก็รุนแรง จริตมีอารมณ์อย่างเดียวกันแต่อาการไม่สม่ำเสมอกันดังกล่าว


สำหรับ แนวทางการพิจารณา ดาวดาว เพื่อตรวจสอบดูแนวโน้มจริตด้านต่างๆ ขอบแต่ละคนนั้น ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะดังนี้

1.พิจารณาจาก ลัคนา ว่ามีดาวที่มีความหมายของจริตแต่ละประเภท สัมพันธ์หรือไม่

2.พิจารณาจาก ดาวเจ้าเรือนตนุ ว่ามีดาวที่มีความหมายของจริตแต่ละประเภท สัมพันธ์หรือไม่

3.พิจารณาจาก ดาวอาทิตย์ ว่ามีดาวที่มีความหมายของจริตแต่ละประเภท สัมพันธ์หรือไม่

4.จาก ทั้ง 3 ข้อ หากดาวมีมาตรฐานโดดเด่น เช่น เกษตร อุจน์ มหาจักร ให้เพิ่มน้ำหนักของจริตเข้าไป แต่หากเป็นมาตรฐานด้อย เช่น ประ นิจ ให้ลดน้ำหนักของจริต

5.หากดาวที่มีความหมายของจริตแต่ละประเภท มีมาตรฐานโดดเด่น แต่ไม่สัมพันธ์ กับข้อ 1 - 3 แสดงว่าไม่ส่งผลหรือแสดงออกกับตัวตน ของเจ้าชะตามากนัก  ยกเว้นเป็น 12 กับลัคนา , ดาวเจ้าเรือนตนุ , ดาวอาทิตย์ หากมีองศาอยู่ช่วงปลายๆ อาจส่งผลเทียบเท่ากับการ กุม เลยทีเดียว


สำหรับดาวประจำความหมายของจริตต่างๆ ในมุมมองของดาวเดี่ยว มีดังนี้ ครับ


1. ราคะจริต  พิจารณา จากดาวพุธและดาวศุกร์

2. โทสะจริต  พิจารณา จากดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร และ ราหู

3. โมหะจริต  พิจารณา จากดาวจันทร์ ดาวเสาร์ และ ดาวอังคาร(อังคารมักอยู่ในมุมเสียหรือมาตรฐานด้อย)

4. วิตกจริต พิจารณา จากดาวพุธ ดาวเสาร์ และดาวพฤหัส ( เสาร์ พฤหัสร่วมถึงกันมักคิดนุ่น คิดนี่ ) 

5. ศรัทธาจริต พิจารณา จากดาวอาทิตย์ ราหู และเกตุ

6. พุทธจริต พิจารณา จาก ดาวพุธ ดาวพฤหัส 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

ธรรมะไทย 

และหนังสือ "จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน" โดย ดร. อนุสร จันทพันธ์ และ ดร. บุญชัย โกศลธนากุล




ตัวอย่าง






วิตกจริต + พุทธจริต  ให้น้ำหนักไปทาง
วิตกจริตมากกว่า เพราะ เสาร์กุมลัคน์ได้ตำแหน่งอุจจาวิลาส พฤหัสเป็นประ เจ้าชะตามักคิดมาก วิตกกังวล
แต่ได้พลังของดาวพฤหัส จึงลดการมองในแง่ร้ายไปได้มาก
(พฤหัส + เสาร์ พลังงานมองโลกแง่ดี + มองโลกแง่ร้าย)










ราคะจริต  โดดเด่น เพราะ คู่ดาวพุธ ศุกร์ ธาตุน้ำ ไปอยู่ในราศีธาตุน้ำ
ศุกร์เป็นอุจน์ โดดเด่น เจ้าชะตา รักสวย รักงาม อ่อนไหว กลัวไม่สวย ไม่งาม








ศรัทธาจริต + โทสะจริต
เจ้าชะตา มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ยึดมั่นตัวเองเป็นหลัก กล้าคิดกล้าทำ
แต่ใครขัดไม่ค่อยได้ และมีแนวโน้มที่จะดึงคนอื่นเข้าหาตนเอง มากกว่าที่จะปรับตัวเองเข้ากับคนอื่น
ดาวอาทิตย์เป็นอุจน์ กุมลัคน์ ส่วน อังคาร ร่วม ราหู อยู่ร่วมกัน แถมตรีโกณถึงลัคนาและอาทิตย์ในดวงด้วย
ส่งผลให้เจ้าชะตา หุนหัน พลันแล่น ดื้อรั้น แต่คิดเร็ว ทำเร็ว กล้าลุย
ยอมขัดแย้งแตกหัก หากขัดกับสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

ดวงคืออะไร

  




อิทัปปัจจยตา คือสัจธรรมกฎแห่งจักรวาล เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด .. คนเราก็อยู่ภายใต้กฏนี้
วิชาโหราศาสตร์ว่าด้วยความเป็นไปตามธรรมชาติของจักรวาลเช่นกัน


ดังนั้นการเรียนโหราศาสตร์หากผู้ศึกษาด้วยสัมมาทิฐิ ย่อมเข้่าถึงหลัก อิทัปปัจจยตา
คือเพราะมีสิ่งนี้ จึงเกิดสิ่งนั้น(การเดินภพของดาวในดวงชะตา) เกิดเป็นเรื่องราวของชีวิต ภายใต้ดวง คือรุปทรงกลมหรือวัฏฏะ(การหมุนวน)ต่อ เมื่อมีจุดลัคนาขึ้นมา จึงเกิดเป็นเรือนภพซ้อนเข้ามาในดวงเกิดเป็น12เรือนภพ เราจึงเรียกดวงกลมนี้ว่าดวงชะตา
ตั้งต้นที่ภพตนุไปคือ
๑. อวิชชาทำให้เกิดสังขาร

๒. สังขารทำให้เกิดวิญญาณ

๓.วิญญาณทำให้เกิดนามรูป

๔.นามรูปทำให้เกิดสฬายตะนะ

๕.สฬายตะนะทำให้เกิดผัสสะ

๖.ผัสสะทำให้เกิดเวทนา

๗.เวทนาทำให้เกิดตัณหา

๘.ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน

๙.อุปาทานทำให้เกิดภพ

๑๐.ภพทำให้เกิดชาติ

๑๑.ชาติทำให้เกิด...

๑๒.ชราและมรณะ

ดวงชะตาอันเกิดแต่ชนกกรรมโดยมีกำลังธาตุ กำลังดาว
เรียกสิ่งนี้เรียกว่าฟ้ากำหนด(กรรม) ที่เรียกฟ้าเพราะใช้ดวงดาวเป็นเครื่องมือ
เมื่อเกิดภพ-ชาติขึ้นเป็นดวงชะตาแล้ว
ดาวจร(อุปถัมภกกรรม)จะทำหน้าที่หล่อเลี้ยงต่อไป คือ กรรมที่ทำหน้าที่อุดหนุนหรือส่งเสริมทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม กล่าวคือ ในทางที่ดีก็ส่งเสริมให้กุศลกรรมให้ดียิ่งๆขึ้นไป ในทางที่ชั่วก็ส่งเสริมให้อกุศลกรรมส่งผลให้เลวร้ายต่ำทรามมากลงไปในดวงชะตา นั้นๆ
หรือดาวจรที่คอยมาตัดรอนตามเวลา(อุปปีฬกกรรม)
คือ กรรมมีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นเข้าไปทำร้ายหรือบีบคั้นกรรมอื่นที่มีสภาพ ตรงกันข้าม ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เป็นผลให้กรรมฝ่ายตรงกันข้ามอ่อนกำลังลงเสื่อมลง
ที่สุดท้ายแล้วสังขตธรรม(ธาตุทั้งหลายที่ถุกปรุงแต่ง)หรืออิทธิพลจากดวงดาว ตามกรรมในวันเดือปีดิถีเวลายามนั้นนี้ขึ้นมาเป็นดวงชะตา ก็ย่อมเสื่อมสลายไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นเดียวกัน

ดวงชะตาของคนนั้นจึงไม่เคยมีอยู่มาก่อน  ที่เรียกว่าดวงในปัจจุบัน คืออิทัปปัจยตาในอดีต ดวงในอนาคต จึงไม่มี มีเพียงดวงปัจจุบันที่สืบเนื่องจากอิทัปปัจจยตาในอดีตเท่านั้น

ที่แบ่งเป็นวัยต้น วัยกลาง วัยปลาย ที่เรียกว่าตรีวัย
และเมื่อจุดแห่งลัคนาเวียนมาส่งจนหมดกำลังแล้วภพชาติปัจจุบัน ก็จะไปเป็นอิทัปปัจยตากำหนดเกิดเป็นดวงใหม่ในภพหน้า นั่นจึงเรียกว่าดวงอนาคต
 
ลัคนา อันเป็นจุดเกิดแห่งเรือนชาติภพทั้ง12เมื่อเวียนจบครบจักรราศีตามกำลังธาตุ จะหลือเพียงดวงธรรมอันว่างเปล่า...ที่มีชนกกรรมนำไปเท่านั้น
บันทึกคนค้นดวง9/6/57.